กระเจี๊ยบแดง (อังกฤษ: Roselle) ภาคเหนือ เรียก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงี้ยว แม่ฮ่องสอนเรียก ส้มปู จังหวัดตาก เรียก ส้มตะแลงเครง ภาคกลาง เรียก กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยวเป็นพืชสมุนไพรที่ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้ม เมล็ดเอาไว้ภายใน
การใช้ประโยชน์
กระเจี๊ยบแดงสามารถนำไปทำเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายได้ นอกจากนี้น้ำกระเจี๊ยบสามารถใช้ทดสอบสารอาหารที่มีโปรตีนได้ โดยอัตราส่วน 1:2 ซึ่งสีแดงของน้ำกระเจี๊ยบจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือสีอื่น
ชาวแอฟฟิกาตะวันออกนำทั้งใบและผลไปต้มดื่มแก้อาการไอ ชาวอียิปต์ใช้กลีบเลี้ยงสีแดงต้มน้ำดื่มแก้ความดันโลหิตสูง ชาวมอญและพม่านิยมนำผลและใบกระเจี๊ยบไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใบนำไปยำ หั่นใส่ข้าวยำหรือกินแนมกับอาหารรสจัด ต้ม แกงส้ม ผัดและจิ้มน้ำพริก
การปลูกกระเจี๊ยบแดง
1. การเตรียมดิน
การปลูกในแปลงดินจำเป็นต้องเตรียมดินด้วยการไถพรวน และกำจัดวัชพืชก่อน 1-2 ครั้ง ไถแต่ละครั้งควรตากดิน 3-7 วัน ก่อนปลูก การไถครั้งสุดท้ายก่อนปลูก อาจหว่านโรยด้วยมูลสัตว์รองพื้นหรือผสมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เล็กน้อย ทั้งนี้ อาจปลูกแบบยกร่องหรือไม่ต้องยกร่องก็ได้ แต่หากปลูกในฤดูฝนควรไถยกร่องจะเป็นการดีที่สุด เพื่อป้องกันน้ำท่วมได้ ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 80-100 ซม.
การปลูกในแปลงดินจำเป็นต้องเตรียมดินด้วยการไถพรวน และกำจัดวัชพืชก่อน 1-2 ครั้ง ไถแต่ละครั้งควรตากดิน 3-7 วัน ก่อนปลูก การไถครั้งสุดท้ายก่อนปลูก อาจหว่านโรยด้วยมูลสัตว์รองพื้นหรือผสมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เล็กน้อย ทั้งนี้ อาจปลูกแบบยกร่องหรือไม่ต้องยกร่องก็ได้ แต่หากปลูกในฤดูฝนควรไถยกร่องจะเป็นการดีที่สุด เพื่อป้องกันน้ำท่วมได้ ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 80-100 ซม.

การปลูกในแปลงอาจใช้วิธีการหว่านเมล็ดหรือหยอดเมล็ด หากหว่านเมล็ดจะใช้ปลูกในแปลงที่ไม่ยกร่อง ส่วนการหยอดเมล็ดมักใช้กับแปลงที่ยกร่อง
การหว่านเมล็ดจะต้องหว่านให้เมล็ดตกห่างกันมากในระยะประมาณ 80-100 ซม. ต่อต้น สำหรับการหยอดเมล็ดจากการไถยกร่องจะได้ระยะห่างระหว่างแถวที่ 80-100 ซม. และการหยอดเมล็ดก็เช่นกัน ควรหยอดให้ห่างกันในแต่หลุมประมาณ 80-100 ซม. เช่นกัน

เนื่องจากกระเจี๊ยบเป็นพืชไร่ชนิดชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องการน้ำมาก การปลูกกระเจี๊ยบส่วนมากจะปลูกในช่วงฤดูฝน ดังนั้น การให้น้ำจึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำเป็นพิเศษ ส่วนมากมักจะปล่อยให้เติบโตโดยอาศัยน้ำจากฝนเท่านั้น
ในระยะ 1-3 เดือนแรก จำเป็นต้องมั่นกำจัดวัชพืชเป็นพิเศษ เพราะการปลูกในช่วงฤดูฝนหญ้าจะเติบโตเร็วมาก หากไม่กำจัดออกจะทำให้หญ้าขึ้นคลุมต้นกระเจี๊ยบได้เนื่องจากดอกกระเจี๊ยบจะออกดอกไม่พร้้อมกัน มีการทะยอยออกตามความสูงของกิ่งจนถึงปลายกิ่ง ดังนั้น เมื่อกิ่งโตยาวเต็มที่แล้ว และดอกบริเวณปลายกิ่งแทงออกแล้วจะทำการเด็ดยอดในแต่ละกิ่งทิ้ง เพื่อให้กระเจี๊ยบเติบโตเฉพาะส่วนดอกได้ดี

การเก็บดอกกระเจี๊ยบ สามารถเก็บได้ทั้งในระยะดอกตูมหรือหลังจากดอกบาน และร่วงแล้ว แต่โดยธรรมชาติ ดอกกระเจี๊ยบในระยะดอกตูมจะให้รสเปรี้ยวน้อยกว่าระยะติดเมล็ดหลังดอกบานการเก็บดอกกระเจี๊ยบจะไม่สามารถเก็บในระยะเดียวกันได้พร้อมกัันหมด เนื่องจากแต่ละดอกในกิ่งมีอายุไม่พร้อมกัน ดังนั้น ระยะแรกจะเก็บดอกจากโคนกิ่งก่อน
กระเจี๊ยบแดง (Roselle) เป็นพืชล้มลุกอายุปีเดียว นิยมปลูกสำหรับนำดอกมาใช้ประโยชน์หลัก ได้แก่ นำดอกมาต้มเป็นน้ำกระเจี๊ยบ ส่วนอื่นๆรองลงมา ได้แก่ ใบ และยอดอ่อนนำมาปรุงอาหาร สีของดอกใช้เป็นสีผสมอาหาร และเครื่องดื่ม เป็นต้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa Linn.
วงศ์ : Malvaceae
ชื่อสามัญ : Roselle, Rosella,Jamaica Sorrel, Red Sorrel
วงศ์ : Malvaceae
ชื่อสามัญ : Roselle, Rosella,Jamaica Sorrel, Red Sorrel
กระเจี๊ยบแดง มีถิ่นกำเนิดในประเทศซูดาน และแถบประทศในทวีปแอฟริกา พบบันทึกการปลูกในไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2510 โดยกรมประชาสงเคราะห์ได้นำกระเจี๊ยบแดงพันธุ์ซูดานเข้ามาปลูกที่นิคมสร้าง ตัวเอง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี (เกษม, 2545)(1) มีชื่ออื่นๆ เช่น กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเปรี้ยว (ภาคกลาง และทั่วไป), ส้มเก็งเค็ง, ผักเก็งเค็ง, ส้มปู, ส้มพอเหมาะ, ส้มตะเลงเครง (ภาคเหนือ)


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
1. ลำต้น และราก
กระเจี๊ยบแดง มีลักษณะลำต้นเป็นทรงพุ่ม สูงประมาณ 1-2.5 เมตร ขนาดลำต้นประมาณ 1-2 ซม. แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ต้นอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่ ลำต้น และกิ่งมีสีแดงม่วง เปลือกลำต้นบางเรียบ สามารถลอกเป็นเส้นได้
กระเจี๊ยบแดง มีลักษณะลำต้นเป็นทรงพุ่ม สูงประมาณ 1-2.5 เมตร ขนาดลำต้นประมาณ 1-2 ซม. แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ต้นอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่ ลำต้น และกิ่งมีสีแดงม่วง เปลือกลำต้นบางเรียบ สามารถลอกเป็นเส้นได้
รากกระเจี๊ยบเป็นระบบรากแก้ว และแตกรากแขง รากอยู่ในระดับความลึกไม่มาก


ใบกระเจี๊ยบแดง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามความสูงของกิ่ง มีลักษณะคล้ายปลายหอก ยาวประมาณ 7-13 ซม. มีขนปกคลุมทั้งด้านบนด้านล่าง ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนปลายเว้าลึกคล้ายนิ้วมือ 3 นิ้ว หรือเป็น 5 แฉก ระยะห่างระหว่างแฉก 0.5-3 ซม. ลึกประมาณ 3-8 ซม. มีเส้นใบ 3-5 เส้น เส้นใบด้านล่างนูนเด่น มีต่อมบริเวณโคนเส้นกลางใบ 1 ต่อม มีหูใบเป็นเส้นเรียวยาว 0.8-1.5 ซม. ใบที่มีอายุน้อย และใบใกล้ดอกจะมีขนาดเล็กรูปไข่
ใบกระเจี๊ยบแดงบางพันธุ์จะไม่มีแฉก มีลักษณะโคนใบมน และเรียวยาวจนถึงปลาย มีก้านใบมีแดงม่วงเหมือนสีของกิ่ง เส้นใบด้านล่างนูนชัด

ดอกกระเจี๊ยบแดงออกเป็นดอกเดี่ยว ดอกแทงออกตามซอกใบตั้งแต่โคนกิ่งถึงปลายกิ่ง ดอกมีก้านดอกสั้น สีแดงม่วง ดอกมีกลีบเลี้ยง ประมาณ 5 กลีบ หุ้มดอกบนสุด มีขนาดใหญ่ มีลักษณะอวบหนา มีสีแดงเข้มหุ้มดอก และกลีบรองดอก ที่เป็นกลีบด้านล่างสุด มีขนาดเล็ก 8-12 กลีบ มีสีแดงเข้ม กลีบทั้ง 2 ชนิดนี้ จะติดอยู่กับดอกจนถึงติดผล และผลแก่ ไม่มีร่วง ดอกเมื่อบานจะมีกลีบดอกสีเหลืองหรือสีชมพูอ่อนหรือสีขาวแกมชมพู บริเวณกลางดอกมีสีเข้ม ส่วนของดอกมีสีจางลง เมื่อดอกแก่กลีบดอกจะร่วง ทำให้กลีบรองดอก และกลีบเลี้ยงเจริญขึ้นมาหุ้ม

4. ผล
ผลกระเจี๊ยบแดงเจริญจากดอก ถูกหุ้มอยู่ด้านในกลีบเลี้ยง ลักษณะเป็นรูปไข่ กลมรี ยาวประมาณ 2.5 ซม. มีจงอยสั้นๆ มีขนสีเหลืองปกคลุม
ผลกระเจี๊ยบแดงเจริญจากดอก ถูกหุ้มอยู่ด้านในกลีบเลี้ยง ลักษณะเป็นรูปไข่ กลมรี ยาวประมาณ 2.5 ซม. มีจงอยสั้นๆ มีขนสีเหลืองปกคลุม
พันธุ์กระเจี๊ยบที่นิยมปลูก
1. พันธุ์ซูดาน
เป็นกระเจี๊ยบพันธุ์แรกที่มีการปลูกในประเทศ โดยนำมาจากประเทศซูดาน ในปี พ.ศ. 2510 ดังที่กล่าวข้างต้น เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากในต่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทยเช่นกัน มีลักษณะลำต้นเป็นทรงพุ่มใหญ่ แตกกิ่งมาก แต่กิ่งมักไม่เป็นระเบียบ ดอกมีหลายสี เช่น สีเหลือง และสีแดง มีกลีบเลี้ยงห่อหุ้มขนาดใหญ่ และให้รสเปรี้ยวจัด
เป็นกระเจี๊ยบพันธุ์แรกที่มีการปลูกในประเทศ โดยนำมาจากประเทศซูดาน ในปี พ.ศ. 2510 ดังที่กล่าวข้างต้น เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากในต่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทยเช่นกัน มีลักษณะลำต้นเป็นทรงพุ่มใหญ่ แตกกิ่งมาก แต่กิ่งมักไม่เป็นระเบียบ ดอกมีหลายสี เช่น สีเหลือง และสีแดง มีกลีบเลี้ยงห่อหุ้มขนาดใหญ่ และให้รสเปรี้ยวจัด
2. พันธุ์บราซิล
เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2518 มีลักษณะลำต้นตรง แตกกิ่งมาก และเป็นระเบียบ แต่มีสี และรสเปรี้ยวที่น้อยกว่าพันธุ์ซูดาน แต่ให้จำนวนดอกดก และดอกใหญ่กว่า
เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2518 มีลักษณะลำต้นตรง แตกกิ่งมาก และเป็นระเบียบ แต่มีสี และรสเปรี้ยวที่น้อยกว่าพันธุ์ซูดาน แต่ให้จำนวนดอกดก และดอกใหญ่กว่า
3. พันธุ์เอส-2760
เป็นพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศซูดานเหมือนกับพันธุ์ซูดาน แต่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่พัฒนา และปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นอ่อนมีสีเขียว เมื่อต้นเต็มวัยจะมีลำต้น และกิ่งเป็นสีแดง ลำต้นไม่มีหนามหรือขน มีลักษณะใบกลมใหญ่ ปลายใบแยกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกมีสีเหลืองหรือชมพู กลีบเลี้ยงใหญ่ อวบหนา สีแดงสด มีลักษณะดอกโดยรวมคล้ายพันธุ์บราซิล และให้รสเปรี้ยวใกล้เคียงกัน แต่ดอกมีขนาดใหญ่กว่า
เป็นพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศซูดานเหมือนกับพันธุ์ซูดาน แต่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่พัฒนา และปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้นอ่อนมีสีเขียว เมื่อต้นเต็มวัยจะมีลำต้น และกิ่งเป็นสีแดง ลำต้นไม่มีหนามหรือขน มีลักษณะใบกลมใหญ่ ปลายใบแยกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกมีสีเหลืองหรือชมพู กลีบเลี้ยงใหญ่ อวบหนา สีแดงสด มีลักษณะดอกโดยรวมคล้ายพันธุ์บราซิล และให้รสเปรี้ยวใกล้เคียงกัน แต่ดอกมีขนาดใหญ่กว่า
4. พันธุ์เอส 60 – M 35
ลำต้นอ่่่่่่อนมีสีเขียว ปลายยอกมีสีแดง เมื่อต้นโตลำต้นทุกส่วนเปลี่ยนเป็นสีแดง ลำต้นไม่มีหนามหรือขน มีข้อกิ่งสั้น ใบมีแฉก ลักษณะใบหนา กลีบเลี้ยงสีแดงคล้ายพันธุ์เอส-2760 แต่เติบโต และให้ฝักยาวกว่า ให้ความเปรี้ยวใกล้เคียงกับพันธุ์บราซิล พันธุ์นี้มีอายุการออกดอก และเก็บเกี่ยวช้ากว่าทุกๆพันธุ์
ลำต้นอ่่่่่่อนมีสีเขียว ปลายยอกมีสีแดง เมื่อต้นโตลำต้นทุกส่วนเปลี่ยนเป็นสีแดง ลำต้นไม่มีหนามหรือขน มีข้อกิ่งสั้น ใบมีแฉก ลักษณะใบหนา กลีบเลี้ยงสีแดงคล้ายพันธุ์เอส-2760 แต่เติบโต และให้ฝักยาวกว่า ให้ความเปรี้ยวใกล้เคียงกับพันธุ์บราซิล พันธุ์นี้มีอายุการออกดอก และเก็บเกี่ยวช้ากว่าทุกๆพันธุ์

ประโยชน์
1. กลีบเลี้ยงที่มีสีแดงเข้มรวมถึงกลีบดอกนิยมนำมาต้มทำน้ำผลไม้ที่เรียกว่า น้ำกระเจี๊ยบ ให้รสเปรี้ยว ผสมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่ม ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี
2. ดอกอ่อน นำมาปรุงอาหาร โดยนิยมนำส่วนดอกใส่ในอาหารจำพวกต้มยำเพื่อให้มีรสเปรี้ยว ส่วนใบอ่อน และยอดอ่อนนำมาปรุงอาหารลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใส่ในแกงต้มหรือผสมเป็นผักสลัด
3. ดอกนำมาทำขนมหรือของหวาน อาทิ แยม เยลลี่ ไอศครีม
4. สีแดงเข้มของดอก นำมาสกัดเป็นสีผสมอาหาร เครื่องดื่ม หรือสีย้อมผ้า
5. ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกระเจี๊ยบแดง อาทิ ซอสกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบผง ไวน์กระเจี๊ยบ เป็นต้น
6. เปลือกของกระเจี๊ยบแดงสามารถลอกใช้ทำเป็นเชือกรัดของได้
7. ลำต้นสามารถใช้ทำเป็นเยื่อกระดาษสาได้
8. สารเพกตินที่พบในดอกสกัดนำไปใช้เป็นสารป้องกันการแยกตัว (emulsifier) ของน้ำมันในเครื่องสำอาง
9. เมล็ดมีน้ำมันสูง ใช้สกัดสำหรับเป็นน้ำมันประกอบอาหารที่มีกรดไลโนเลอิกสูง (linoleic acid)
10. เมล็ดใช้ผสมกับสารส้มสำหรับตกตะกอนน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม
11. เมล็ดมีรสขมใช้บดผสมในอาหารเพื่อให้ได้รสขมเล็กน้อย
12. เมล็ดที่มีรสขมเหมือนกาแฟบางประเทศนำมาตากแห้ง และบดชงดื่มแทนกาแฟ
13. ทั้งใบอ่อน ยอดอ่อน ดอก และเมล็ดใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์
1. กลีบเลี้ยงที่มีสีแดงเข้มรวมถึงกลีบดอกนิยมนำมาต้มทำน้ำผลไม้ที่เรียกว่า น้ำกระเจี๊ยบ ให้รสเปรี้ยว ผสมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่ม ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี
2. ดอกอ่อน นำมาปรุงอาหาร โดยนิยมนำส่วนดอกใส่ในอาหารจำพวกต้มยำเพื่อให้มีรสเปรี้ยว ส่วนใบอ่อน และยอดอ่อนนำมาปรุงอาหารลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใส่ในแกงต้มหรือผสมเป็นผักสลัด
3. ดอกนำมาทำขนมหรือของหวาน อาทิ แยม เยลลี่ ไอศครีม
4. สีแดงเข้มของดอก นำมาสกัดเป็นสีผสมอาหาร เครื่องดื่ม หรือสีย้อมผ้า
5. ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกระเจี๊ยบแดง อาทิ ซอสกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบผง ไวน์กระเจี๊ยบ เป็นต้น
6. เปลือกของกระเจี๊ยบแดงสามารถลอกใช้ทำเป็นเชือกรัดของได้
7. ลำต้นสามารถใช้ทำเป็นเยื่อกระดาษสาได้
8. สารเพกตินที่พบในดอกสกัดนำไปใช้เป็นสารป้องกันการแยกตัว (emulsifier) ของน้ำมันในเครื่องสำอาง
9. เมล็ดมีน้ำมันสูง ใช้สกัดสำหรับเป็นน้ำมันประกอบอาหารที่มีกรดไลโนเลอิกสูง (linoleic acid)
10. เมล็ดใช้ผสมกับสารส้มสำหรับตกตะกอนน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม
11. เมล็ดมีรสขมใช้บดผสมในอาหารเพื่อให้ได้รสขมเล็กน้อย
12. เมล็ดที่มีรสขมเหมือนกาแฟบางประเทศนำมาตากแห้ง และบดชงดื่มแทนกาแฟ
13. ทั้งใบอ่อน ยอดอ่อน ดอก และเมล็ดใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์

สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง
1. ใบ และยอดอ่อน มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก้ร้อนใน รักษาโรคเหน็บชา ช่วยลดความดันเลือด หรือนำมาบดหรือตำใช้ทาฟอกฝี ใช้ประคบแผล รักษาแผลอักเสบ แผลติดเชื้อ
2. ดอก ช่วยแก้นิ่วในไต นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ขับเสมหะ ลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคเบาหวาน
3. ผล และเมล็ด ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคเบาหวาน ช่วยกระหายน้ำ ขับปัสสาวะ
1. ใบ และยอดอ่อน มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก้ร้อนใน รักษาโรคเหน็บชา ช่วยลดความดันเลือด หรือนำมาบดหรือตำใช้ทาฟอกฝี ใช้ประคบแผล รักษาแผลอักเสบ แผลติดเชื้อ
2. ดอก ช่วยแก้นิ่วในไต นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ขับเสมหะ ลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคเบาหวาน
3. ผล และเมล็ด ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคเบาหวาน ช่วยกระหายน้ำ ขับปัสสาวะ
ฤทธิ์ทางเภสัชกรรม
1. ฤทธิ์ขับปัสสาวะ
มีรายงานการใช้กลีบรองดอกของกระเจี๊ยบแดงบดแห้งในผู้ป่วยทางเดินปัสสาวะ อักเสบ ครั้งละ 1 แก้ว 3 ครั้ง นาน 7 วัน พบว่า สามารถขับปัสสาวะได้กว่า 80% และปัสสาวะมีลักษณะใส และมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น
1. ฤทธิ์ขับปัสสาวะ
มีรายงานการใช้กลีบรองดอกของกระเจี๊ยบแดงบดแห้งในผู้ป่วยทางเดินปัสสาวะ อักเสบ ครั้งละ 1 แก้ว 3 ครั้ง นาน 7 วัน พบว่า สามารถขับปัสสาวะได้กว่า 80% และปัสสาวะมีลักษณะใส และมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น
2. ฤทธิ์ลดความดันโลหิต
พบรายงานการศึกษาทดลองให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงดื่มน้ำจากกลีบรองดอก และกลีบดอกของกระเจี๊ยบแดง วันละ 1 แก้ว นาน 12 วัน พบว่า ค่าความดันโลหิตมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสารสำคัญที่ช่วยออกฤทธิ์ คือ anthocyanin และ flavonoids
พบรายงานการศึกษาทดลองให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงดื่มน้ำจากกลีบรองดอก และกลีบดอกของกระเจี๊ยบแดง วันละ 1 แก้ว นาน 12 วัน พบว่า ค่าความดันโลหิตมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสารสำคัญที่ช่วยออกฤทธิ์ คือ anthocyanin และ flavonoids
3. ฤทธิ์ต้านเชื้อ
พบรายงานการทดสอบฤทธิ์สารสกัดจากกระเจี๊ยบแดงที่มีต่อเชื้อจุลนทรีย์ต่างๆ พบว่า สารสกัดกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ยับยั้งการผลิตสาร aflatoxin จากเชื้อราได้
พบรายงานการทดสอบฤทธิ์สารสกัดจากกระเจี๊ยบแดงที่มีต่อเชื้อจุลนทรีย์ต่างๆ พบว่า สารสกัดกระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ยับยั้งการผลิตสาร aflatoxin จากเชื้อราได้
4. ฤทธิ์ด้านอื่นๆ
พบรายงานการศึกษาผลฤทธิ์สำคัญของกระเจี๊ยบแดงมีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิ เดนส์ สามารถป้องกันเซลล์ตับจากความเป็นพิษของสารพิษได้ โดยมีสารสำคัญที่ช่วยออกฤทธิ์ คือ flavonoid
พบรายงานการศึกษาผลฤทธิ์สำคัญของกระเจี๊ยบแดงมีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิ เดนส์ สามารถป้องกันเซลล์ตับจากความเป็นพิษของสารพิษได้ โดยมีสารสำคัญที่ช่วยออกฤทธิ์ คือ flavonoid

วิธีการทำน้ำกระเจี๊ยบ
นำเมล็ดกระเจี๊ยบพร้อมกลีบเลี้ยงที่โตเต็มที่ มีสีแดงจัดมาตากจนแห้ง จากนั้นนำมาล้างน้ำและพักเอาไว้ นำน้ำมาต้มให้เดือดจากนั้นนำกระเจี๊ยบแห้งที่เตรียมไว้ลงไปต้มประมาณ 20-30 นาที จะได้น้ำกระเจี๊ยบสีแดงเข้ม ยกออกกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้น้ำกระเจี๊ยบที่มีรสเปรี้ยว นำน้ำที่กรองได้มาเติมน้ำตาลทรายให้มีความหวานปนเปรี้ยว เทใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ดื่มได้นานหลายวัน
2. ต้มด้วยไฟกลางจนเดือด ลดเป็นไฟอ่อน แล้วต้มนาน 15-20 นาที หรือจนมีสีแดงสวย
3. เติมน้ำตาล และเกลือ ลงในหม้อ แล้วต้มต่ออีกสักตรู่พอให้น้ำตาลละลาย
4. ปิดไฟ แล้วกรองด้วยกระชอน เทใส่เหยือก
5. รินใส่แก้วน้ำแข็ง ตกแต่งด้วยกลีบดอกกระเจี๊ยบ พร้อมเสิร์ฟ

การแปรรูปกระเจี๊ยบแดง (กระเจี๊ยบกวน)
วัตถุดิบและส่วนประกอบ
1.กระเจี๊ยบสด 20 กก.

2. น้ำตาล 7 กก.

3. แบะแซ 5 กก.

4. เกลือ 100 กรัม

ขั้นตอนการผลิต
1. เตรียมกระเจี๊ยบมาแกะเมล็ดออก แล้วนำมาล้างให้สะอาด
2. สับเนื้อกระเจี๊ยบให้เป็นชิ้นเล็ก
3. นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนเกือบแห้ง เติมน้ำตาลทราย แบะแซ เกลือ คนให้ละลาย
4. กวนจนข้นได้ที่
5. บรรจุในภาชนะที่แห้ง สะอาดและปิดสนิท หรือห่อด้วยกระดาษแก้วใส
2. สับเนื้อกระเจี๊ยบให้เป็นชิ้นเล็ก
3. นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนเกือบแห้ง เติมน้ำตาลทราย แบะแซ เกลือ คนให้ละลาย
4. กวนจนข้นได้ที่
5. บรรจุในภาชนะที่แห้ง สะอาดและปิดสนิท หรือห่อด้วยกระดาษแก้วใส
เทคนิค/เคล็ดลับในการผลิต
1.ขณะที่กวนกระเจี๊ยบสิ่งที่สำคัญคือ ห้ามใช้ไฟแรง เพราะจะทำให้กระเจี๊ยบเป็นสีดำ ต้องใช้ไฟอ่อนและต้องใจเย็น
2.ควรเติมเกลือป่นในเล็กน้อย เพื่อคงรสชาติ และสี
2.ควรเติมเกลือป่นในเล็กน้อย เพื่อคงรสชาติ และสี

ข้าวญี่ปุ่นสมุนไพรกระเจี๊ยบ/Japanese rice coated with Roselle (1kg.)
วิธีหุง ข้าวญี่ปุ่นสมุนไพร (ไม่ต้องซาวน้ำทิ้ง) 1.ใส่ข้าวสมุนไพรลงในหม้อหุงข้าว เติมน้ำล้างเบาๆ 1ครั้งโดยไม่ต้องซาว 2.เติมน้ำใหม่ลงในหม้อหุงข้าว ในอัตราส่วน 1:1 ส่วน 3.หุง 20นาที แล้วพักไว้ 10นาที จะได้ข้าวสมุนไพรหอมนุ่มน่ารับประทาน วิธีหุงข้าวญี่ปุ่นเคลือบสมุนไพรกระเจี๊ยบ อัตราส่วน ข้าว 1 : น้ำ 1 ควรแช่น้ำทิ้งไว้ก่อนหุง 10-20นาที
น้ำสกัดชีวภาพ กระเจี๊ยบแดง(Bioextract) 750 Ml.
สินค้าตัวนี้จัดส่งแค่ทางขนส่งนะค่ะ (ต้องสั่งขั้นต่ำ 6 ขวดค่ะ)

รหัสสินค้า : 3007
น้ำสกัดชีวภาพ กระเจี๊ยบแดง (Bioextract)
ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ สกัดด้วยวิธีทางธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุกันเสีย
ป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือด บำรุงกระดูก บำรุงสายตา ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง ช่วยทำลายแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
กระเจี๊ยบแดง มีผลดีต่อสุขภาพดีคือ
- ป้องกันการจับของไขมันในเส้นเลือด
- บำรุงกระดูก
- บำรุงสายตา
- ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง
- กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ในการทำลายแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
วิธีรับประทาน : ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำ 150 มล. วันละ 2 เวลา ก่อนอาหารเช้าและเย็น
ส่วนประกอบสำคัญ : น้ำสกัดกระเจี๊ยบแดง 50% น้ำสกัดมะขาม 20% น้ำสกัดกระชายขาว 10%
ปริมาตรสุทธิ 750 มล.
สบู่หน้าใสกระเจี๊ยบแดง

ขนาด : 4.00 X 7.00 X 2.00 เซนติเมตร
น้ำหนัก :50.00 กรัม
สินค้าจากจังหวัด : จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ชาสมุนไพรกระเจี๊ยบ
ชาสมุนไพรกระเจี๊ยบ
ขนาด :
9.00 X 16.00 X 4.50 เซนติเมตร
น้ำหนัก :
30.00 กรัม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น