การพยากรณ์อากาศ คือ
การคาดหมายสภาวะอากาศและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเรา เช่นฝน อุณหภูมิ เมฆ หมอก
คลื่นลม รวมทั้งภัยธรรมชาติที่รุนแรงและไม่รุนแรง ได้แก่ พายุหมุนเขตร้อน, พายุฝนฟ้าคะนอง,การเกิดอุทกภัย,
ภัยแล้ง ฯลฯ การพยากรณ์สภาวะอากาศดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามช่วงเวลาของการพยากรณ์ คือ
1. การพยากรณ์อากาศระยะสั้น (Short Range Forecast) เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วงเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง
ใช้ข้อมูลผลการตรวจอากาศ
และแผนที่อากาศในปัจจุบันมาวิเคราะห์ตามแนวทางทฤษฎีอุตุนิยมวิทยา
เพื่อการพยากรณ์อากาศ สามารถแบ่งช่วงเวลาการพยากรณ์ออกได้
1.1 การพยากรณ์อากาศปัจจุบัน
(Nowcast) ช่วงเวลาพยากรณ์ไม่เกิน 3 ชั่วโมง
1.2 การพยากรณ์อากาศสั้นมาก
(Very Short Range) ช่วงเวลาพยากรณ์ไม่เกิน 12 ชั่วโมง
1.3 การพยากรณ์อากาศสั้น
(Short – Range) ช่วงเวลาพยากรณ์ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
2. การพยากรณ์อากาศระยะปานกลาง (Medium-range Forecast) คือ
การพยากรณ์อากาศในระยะเวลามากกว่า 72 ชั่วโมง จนถึง 10
วัน ใช้ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาปัจจุบันร่วมกับข้อมูลจากสถิติภูมิอากาศในการพยากรณ์
3. การพยากรณ์อากาศระยะนาน (Longe Range Forecast) เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วงเวลามากกว่า
10 วันขึ้นไป ใช้ข้อมูลสถิติทางอุตุนิยมวิทยาในการพยากรณ์
นอกจากทฤษฎีทางอุตุนิยมวิทยาแล้ว
ระบบของการตรวจอากาศมีส่วนสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพยากรณ์อากาศ
ให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นก่อนที่จะได้มาซึ่งการพยากรณ์อากาศ
เราจำเป็นจะต้องมีสถานีตรวจอากาศทั้งอากาศผิวพื้น และตรวจอากาศชั้นบน
เพื่อทำการตรวจวัดสารประกอบทางอุตุนิยมวิทยา เช่น ความกดอากาศ อุณหภูมิ ลม ฯลฯ
เราจำเป็นจะต้องมีเรดาร์ตรวจอากาศ เพื่อตรวจจับพื้นที่และความรุนแรงของฝน
นอกจากนี้เราจะต้องอาศัยดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา
เพื่อตรวจวัดข้อมูลอุตุนิยมวิทยาโดยเฉพาะในบริเวณที่ห่างไกล
และยากลำบากต่อการติดตั้งสถานีตรวจอากาศ เช่นบริเวณเทือกเขา ป่าไม้ ทะเลทราย
มหาสมุทร เกาะแก่งต่าง ๆ ฯลฯ
การติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดระดับน้ำตามแม่น้ำสำคัญต่าง ๆ
เพื่อตรวจวัดปริมาณการไหลของน้ำ
ล้วนเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างระบบการพยากรณ์อากาศให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การพยารณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์
หมายถึง การคาดหมายสภาพลมฟ้าอากาศในอนาคต
การที่จะพยากรณ์อากาศได้ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ
ประการแรกคือความรู้ความเข้าใจในปรากฏการณ์และกระบวนการต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศ ประการที่ สองคือสภาวะอากาศปัจจุบัน
และประการสุดท้ายคือความสามารถที่จะผสมผสานองค์ประกอบทั้งสองข้างต้น
เข้าด้วยกันเพื่อคาดหมายการ เปลี่ยนแปลงของบรรยากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การพยากรณ์อากาศอาจจำแนกตามระยะเวลาของการคาดหมายได้ดังนี้
การพยากรณ์ปัจจุบัน (nowcasst)
|
คือการบรรยายสภาวะลมฟ้าอากาศในปัจจุบัน
หรือการคาดหมายลักษณะอากาศสำหรับช่วงเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง การพยากรณ์ระยะสั้นมาก (very
- short- range forecast) คือการคาดหมายลักษณะลมฟ้าอากาศสำหรับช่วงเวลาไม่เกิน
12 ชั่วโมง การพยากรณ์ระยะสั้น (short - range
forecast) คือการคาดหมายลักษณะลมฟ้าอากาศ สำหรับช่วงเวลาไม่เกิน
3 วัน การพยากรณ์อากาศระยะปานกลาง (medium -
range -forecast) คือการคาดหมายลักษณะลมฟ้าอากาศ สำหรับช่วงเวลา
3 - 10 วัน การพยากรณ์ระยะนาน (long-range
- forecast) คือการคาดหมายลักษณะลมฟ้าอากาศ
สำหรับช่วงเวลาที่เกินกว่า 10 วัน
|
|
|
|
การพยากรณ์อากาศอาจแบ่งตามวิธีการที่ใช้เป็นหลักในการคาดหมายลักษณะลมฟ้าอากาศได้
2 ประเภท ได้แก่
การพยากรณ์เชิงจิตวิสัย (subjective forecast) คือการคาดหมายลักษณะลมฟ้าอากาศ
โดยอาศัยวิธีการที่ใช้การตัดสินใจและทักษะของผู้พยากรณ์เป็นสำคัญ
การพยากรณ์เชิงวัตถุวิสัย ( objective forecast) คือการคาดหมายลักษณะลมฟ้าอากาศ โดยอาศัยการประยุกต์กฏทางพลศาสตร์ (dynamics)
และ / หรือ ทางอุณหพลศาสตร์ (thermedynamics) และ / หรือ ทางสถิติศาสตร์ เป็นหลักสำคัญ
ทั้งนี้เพื่อกำจัดส่วนที่ต้องใช้การตัดสินใจของผู้พยากรณ์ออกไป อย่างไรก็ตาม การพยากรณ์อากาศที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือการผสมผสานระหว่างวิธีการทั้งสองดังกล่าว
การพยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์
เป็นการพยากรณ์เชิงวัตถุวิสัยชนิดหนึ่ง การพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลข (numerical
weather prediction-NWP) คือชื่ออย่างเป็นทางการของวิธีการพยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์
เนื่องจากลมฟ้าอากาศอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์
การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศจึงสามารถแสดงได้ในรูปของระบบสมการทางคณิตศาสตร์
สมการเหล่านี้ได้คำนึงถึงว่าองค์ประกอบของบรรยากาศ เช่น อุณหภูมิ
ความเร็วและทิศทางลม ความชื้น ฯลฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะปัจจุบันอย่างไร
หากสามารถแก้สมการเหล่านี้ได้
ย่อมสามารถที่จะแปรความหมายสภาวะของบรรยากาศในลักษณะของ ลมฟ้าอากาศได้
เป็นต้นว่า ฝน อุณหภูมิ แสงแดด ลม

อย่างไรก็ตาม ระบบสมการดังกล่าวข้างต้นมีความซับซ้อนมาก
(ในทางคณิตศาสตร์เรากล่าวว่าสมการเหล่านี้เป็น non-linear partial
differential equation) และไม่สามารถแก้สมการเหล่านี้เพื่อหาคำตอบที่แท้จริง
(exact solution) ที่จะบอกให้เราทราบถึงสภาวะในอนาคตของบรรยากาศได้
จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการจำลองแบบเชิงตัวเลข (numerical model) เพื่อที่จะหาคำตอบโดยประมาณ (approximate solution) จากแบบจำลองเชิงตัวเลขเหล่านี้ องค์ประกอบต่าง ๆ
ของบรรยากาศจะถูกแทนที่ด้วยชุดของตัวเลขจำนวนหนึ่ง
โดยการดัดแปลงระบบสมการของบรรยากาศจะถูกแทนที่ด้วยชุดของตัวเลขจำนวนหนึ่ง
โดยการดัดแปลงระบบสมการของบรรยากาศให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม
ก็จะสามารถที่จะคำนวณค่าในอนาคตของจำนวนเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้ทำการดัดแปลงสมการที่เกี่ยวข้องให้ง่ายขึ้นแล้ว
แต่การคำนวณที่จำเป็นสำหรับการพยากรณ์อากาศ
ก็ยังคงมีความซับซ้อนและมีปริมาณมากเกินกว่าที่กระทำได้อย่างทันเวลา
โดยมนุษย์หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ธรรมดาทั่วไป
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงเป็นพิเศษ
เพื่อให้สามารถคำนวณการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศได้อย่างรวดเร็ว
ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ ในแบบจำลองเชิงตัวเลข
บรรยากาศจะถูกแบ่งออกเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ จำนวนมาก โดยมีจุดพิกัด (grid
point) ณ จุดกึ่งกลางของรูปทรงสี่เหลี่ยมเหล่านี้
ด้วยวิธีการนี้คุณสมบัติของบรรยากาศจะสามารถแทนได้โดยสิ่งที่เกิดขึ้น ณ
แต่ละจุดพิกัดเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หากแบบจำลองมีการแบ่งบรรยากาศออกเป็น 20
ระดับ มีจุดพิกัดในแนวทิศเหนือ - ใต้ จำนวน 217 จุด และจุดพิกัดในแบบจำลองนี้จะมีมากถึง 1,249,920 จุด
การแทนค่าองค์ประกอบหรือตัวแปรต่าง
ๆ ของบรรยากาศด้วยค่าตัวเลขโดยประมาณนี้ เรียกว่าการกำหนดความไม่ต่อเนื่อง (discretization) ซึ่งก็คือการพยายามแทนปรากฏการณ์ที่มีความต่อเนื่อง
ด้วยชุดของจำนวนเลขที่มีจำนวนจำกัด (ไม่ต่อเนื่อง)
ยิ่งใช้ชุดของจำนวนเลขน้อยตัวเพียงใดก็จะยิ่งทำให้การกำหนดความไม่ต่อเนื่องที่ได้หยาบขึ้นเพียงนั้น
ซึ่งจะเป็นผลให้การพยากรณ์อากาศมีรายละเอียดและความถูกต้องลดลง
แต่หากกำหนดความไม่ต่อเนื่องให้ละเอียดขึ้น ก็จะมีจำนวนของตัวเลขมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์ต้องใช้เวลาในการคำนวณนานขึ้น
แต่ก็จะให้ผลการพยากรณ์มีรายละเอียดและความถูกต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน
แบบจำลองเชิงตัวเลขสำหรับการพยากรณ์อากาศที่มีการใช้งานอยู่เป็นจำนวนมากทั่วโลกนั้น
ต่างก็มีพื้นฐานอยู่บนระบบสมการหลักชุดเดียวกัน ซึ่งระบบสมการนี้

ประกอบด้วยสมการต่าง ๆ คือ สมการ
ของการเคลื่อนที่ (equation of motion) สมการอุทกสถิต (hydrostatic equation) สมการอุณหพล
(thermodynamic equation) สมการความต่อเนื่อง (continuity
equation) สมการของสถานะ (equation of state ) และสมการไอน้ำ (water vapor equation) ระยะเวลาสั้น
ๆ แทนที่จะเป็นการคาดหมายสภาวะที่ปกคลุมโลกทั้งหมด
หรือการคาดหมายในระยะเวลานาน ๆ
จึงมีการสร้างแบบจำลองสำหรับการพยากรณ์อากาศเฉพาะพื้นที่ (limited area
model - LAM) ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้
แบบจำลองเหล่านี้สามารถให้การพยากรณ์เฉพาะพื้นทีใดพื้นที่หนึ่ง
โดยมีรายละเอียดสูง สำหรับช่วงเวลาที่ไม่เกิน 2-3 วัน
ถ้านานกว่านั้น แบบจำลองเหล่านี้จะให้ผลการพยากรณ์ที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก
ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนอกบริเวณที่กำหนดไว้สำหรับการพยากรณ์
จะมีอิทธิพลต่อลมฟ้าอากาศในบริเวณดังกล่าวด้วย ยิ่งช่วงเวลานานออกไป
อิทธิพลภายนอกก็จะยิ่งมีมากขึ้นตามลำดับ

ดังนั้นการพยากรณ์อากาศโดยใช้เฉพาะข้อมูลในบริเวณที่กำหนด
โดยไม่ได้คำนึงถึงอิทธิพลของบรรยากาศภายนอก
จึงมีความถูกต้องลดลงอย่างรวดเร็วสำหรับการพยากรณ์อากาศที่นานเกินกว่า 2-3 วันนั้น ต้องคำนึงถึงความจริงว่า
สภาวะในอนาคตของบรรยากาศ ณ ที่ใดที่หนึ่ง จะได้รับอิทธิพลจากลมฟ้าอากาศจากบริเวณที่อยู่ไกลออกไปมาก
ๆ ด้วย การพยากรณ์อากาศบางอย่าง เช่น
การพยากรณ์อากาศตามเส้นทางเดินเรือและเส้นทางการบิน
การพยากรณ์การแพร่กระจายของมลภาวะ ไม่ใช่เป็นการพยากรณ์ ณ
จุดใดจุดหนึ่งบนพื้นโลก แต่เป็นการพยากรณ์ที่ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง
ดังนั้นจะต้องคำนึงถึงสภาวะของบรรยากาศทั่วโลก
โดยรวมไว้ในแบบจำลองเชิงตัวเลขเพื่อการพยากรณ์อากาศด้วย
นั่นคือแบบจำลองเพื่อการ พยากรณ์อากาศระยะปานกลางต้องครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก (
global model) และต้องพิจารณาบรรยากาศตั้งแต่พื้นโลกขึ้นไปจนถึงความสูงประมาณ
30 กิโลเมตร รวมทั้งต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในระดับต่ำกว่าผิวพื้นโลกทั้งในส่วนที่เป็นแผ่นดินและมหาสมุทรด้วย
ปัจจัยสำคัญบางประการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ
เป็นปรากฏการณ์ที่มีขนาดเล็กมาก เช่น
การที่รังสีจากดวงอาทิตย์ทำให้อุณหภูมิพื้นดินเพิ่มขึ้นในขนาดของโมเลกุลการปั่นป่วนของอากาศใกล้พื้นดินและในระดับล่างของบรรยากาศอาจเกิดขึ้นในขนาดไม่กี่เซนติเมตรกระบวนการก่อตัวของเมฆ
การเกิดฝนภายในก้อนเมฆ
ปรากฏการณ์ขนาดเล็กเหล่านี้ไม่อาจรวมไว้ในแบบจำลองเชิงตัวเลขได้อย่างถูกต้องด้วยวิธีการกำหนดความไม่ต่อเนื่อง
(discretization) เพราะจะทำให้มีตัวเลขเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเกินกว่าที่คอมพิวเตอร์ใด
ๆ ๆ ในโลกปัจจุบัน
จะทำการคำนวณได้รวดเร็วทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในบรรยากาศ ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องแทนปรากกฏการณ์เหล่านี้ โดยพิจารณาถึงอิทธิพลหรือความสัมพันธ์ของมันที่มีต่อตัวแปรอื่น
ๆ
ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าและได้กำหนดไว้แล้วในแบบจำลองแล้ววิธีนี้เรียกว่า
การกำหนดตัวแปรเสริม (parameterization) วิธีการกำหนดตัวแปรเสริมนี้ยังคงต้องมีการพัฒนาอีกมาก
เพื่อที่จะทำให้การพยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์ มีความถูกต้องมากยิ่งขึ้นในการที่จะทำการพยากรณ์อากาศด้วยคอมพิวเตอร์โดยใช้แบบจำลองเชิงตัวเลขได้นั้น
จำเป็นต้องทราบสภาวะอากาศปัจจุบันหรือสภาวะเริ่มแรก (initial
condition) ของบรรยากาศ ณ แต่ละจุดพิกัดที่กำหนดไว้ในแบบจำลอง
ให้ครบถ้วนก่อน สภาวะเริ่มแรกนี้ได้มาจากการตรวจอากาศผิวพื้นการตรวจอากาศชั้นบน
ข้อมูลจากดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา เรดาร์ เรือเดินทะเล เครื่องบิน ทุ่นลอยในทะเล
ฯลฯ รวมทั้งการประมาณค่าโดยคอมพิวเตอร์เองด้วยเช่นกัน
ข้อมูลเหล่านี้จะถูกตรวจสอบความถูกต้องหลายขั้นตอนและด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย
หลังจากนั้นจะได้รับการจัดเตรียมให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการนำไปใช่ในแบบจำลองเชิงตัวเลข
การเตรียมข้อมูลสภาวะเริ่มแรกนั้นเป็นภารกิจที่ละเอียดอ่อนและใช้เวลา

เกณฑ์อากาศร้อน กำหนดจากค่าอุณหภูมิสูงสุด ดังนี้
- อากาศร้อน (Hot) ใช้กับอุณหภูมิสูงสุดตั้งแต่ 35.0
– 39.9 องศาเซลเซียส
- อากาศร้อนจัด (Very Hot) ใช้กับอุณหภูมิสูงสุดตั้งแต่
40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป
เกณฑ์อากาศหนาว
กำหนดจากอุณหภูมิต่ำสุดประจำวันและใช้เฉพาะในฤดูหนาว ดังนี้
- อากาศเย็น (Cool) ใช้กับอุณหภูมิต่ำสุดตั้งแต่ 18.0 – 22.9 องศาเซลเซียส
- อากาศค่อนข้างหนาว (Moderately Cold) ใช้กับอุณหภูมิต่ำสุดตั้งแต่ 16.0 – 17.9 องศาเซลเซียส
- อากาศหนาว (Cold) ใช้กับอุณหภูมิต่ำสุดตั้งแต่ 8.0 – 15.9 องศาเซลเซียส
- อากาศหนาวจัด (Very
Cold) ใช้กับอุณหภูมิต่ำสุดตั้งแต่ 7.9 องศาเซลเซียสลงไป
เกณฑ์การกระจายของฝน กำหนดจากพื้นที่ที่ฝนจะตก ดังนี้
- ฝนบางพื้นที่ (Isolated) หมายถึง
มีฝนตกน้อยกว่า 20% ของพื้นที่
- ฝนกระจายเป็นแห่งๆ (Widely Scattered) หมายถึง
มีฝนตกตั้งแต่ 20% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน40% ของพื้นที่
- ฝนกระจาย (Scattered) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 40% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 60% ของพื้นที่
- ฝนเกือบทั่วไป (Almost Widespread) หมายถึง
มีฝนตกตั้งแต่ 60% ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80%ของพื้นที่
- ฝนทั่วไป (Widespread) หมายถึง มีฝนตกตั้งแต่ 80% ของพื้นที่ ขึ้นไป
เกณฑ์ปริมาณฝน กำหนดจากปริมาณน้ำฝน ดังนี้
- ฝนเล็กน้อย (Light Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 0.1 มิลลิเมตร ถึง 10.0 มิลลิเมตร
- ฝนปานกลาง (Moderate Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 10.1 มิลลิเมตร ถึง 35.0 มิลลิเมตร
- ฝนหนัก (Heavy Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 35.1 มิลลิเมตร ถึง 90.0 มิลลิเมตร
- ฝนหนักมาก (Very Heavy Rain) ฝนตกมีปริมาณตั้งแต่ 90.1
มิลลิเมตร ขึ้นไป
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น